การปลูกพืชแบบ living soil หรือแปลตรงตัวว่า ดินมีชีวิต เป็นการปลูกพืชโดยใช้หลักการง่ายๆ คล้ายกับว่า "จำลองป่าไว้ในกระถาง"
ซึ่งผู้เลี้ยงจะมีบทบาทในการช่วยดูแลแต่ละองค์ประกอบของระบบนิเวศน์ให้มีความอุดมสมบูรณ์อยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้การเกื้อกูลกันทางธรรมชาติไม่ว่า จะทั้งจากพืช สิ่งมีชีวิต จุลินทรีย์ เชื้อรา และ
แบคทีเรียที่มีประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งปุ๋ยเคมีทั้งในด้านการบำรุงต้นและป้องกันศัตรูพืช และยังสามารถใช้ดินซ้ำ หรือเพาะปลูกซ้ำบนพื้นที่เดิมได้ ทั้งสเกลเล็ก และใหญ่อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนที่แท้จริง โดยอาศัยองค์ประกอบหลักดังนี้
1.1 พืชคลุมดินและพืชที่สามารถปลูกร่วมกันหรือใกล้กันได้ (cover crops and companion plants)
โดยมักใช้พืชตระกูลถั่วที่มีแบคทีเรีย Rhizobium ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและบำรุงไนโตรเจน เป็นส่วนหลักของ cover crops โดยอาจเสริมแทรกพืชสมุนไพรหรือดอกไม้ชนิดอื่นเพื่อช่วยไล่แมลงได้เช่น ดอกดาวเรือง โหระพา หรือแม้แต่กะเพรา
นอกจากนี้ รากของพืชคลุมดินยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นและเพิ่มความร่วนซุยให้กับหน้าดิน และยังเป็นที่อยู่สำหรับจุลินทรีย์ต่างๆอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นแปลว่าการมีอยู่ของพืชคลุมดินน่าจะเป็นการส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณ rhizosphere ได้เป็นอย่างดี โดยเมื่อพืชคลุมดินโตมากเกินไป ยังสามารถตัดทิ้งและทิ้งไว้หน้าดินเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดได้อีกด้วย
1.2 ห่วงโซ่อาหารของชีวิตในดิน (soil food web)
สิ่งมีชีวิตต่างๆที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศน์และการดูดซึมอาหารของพืช ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น โปรโตซัว เชื้อราและแบคทีเรีย และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น soil mite, isopod และ springtail ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ขึ้นมาอย่าง ไส้เดือน ซึ่งชีวิตน้อยใหญ่เหล่านี้ถูกเรียกรวมกันว่า ‘soil food web’ ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของพืช
ทั้งในด้านการดูดซึมอาหาร และความทนทานต่อโรคพืช เนื่องจากสมาชิกของ soil food web บางส่วนจะคอยกินและยับยั้งการเติบโตของเชื้อราฝ่ายร้าย ซึ่งเป็นฝ่ายที่ทำให้เกิดโรคต่างๆในพืช รวมถึงการย่อยสลายและปลดปล่อยธาตุอาหารจากอินทรีย์วัตถุต่างๆ ทั้งในดินและหน้าดิน ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างฮิวมัสอย่างเป็นธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อบวกกับการชอนไชของไส้เดือนที่เป็นการช่วยแพร่กระจายจุลินทรีย์และเชื้อราดีได้อย่างดีเยี่ยม ประกอบกับประโยชน์จากจุลินทรีย์ในลำไส้ของไส้เดือนที่ถือว่าเป็นจุลินทรีย์ชั้นยอด จึงทำให้ soil food web ถือเป็น 1 ใน ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการปลูกพืชอินทรีย์
1.3 การใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ (compost)
ผลผลิตจากการย่อยสลายทางชีวภาพจากการซากพืชและมูลสัตว์ ซึ่งนอกจากจะมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนด้านอาหารทุกอย่างแล้ว ยังสามารถเสริมจุลินทรีย์นานาชนิดในระหว่างการหมักหรือหลังหมักเสร็จ ทำให้ปุ๋ยหมักอุดมไปด้วยธาตุอาหารหลัก-รอง จุลธาตุและจุลินทรีย์อย่างครบถ้วน สามารถใช้บำรุงดินและต้นอย่างสม่ำเสมอ หรือเรียกได้ว่าคืนชีวิตและปรับสมดุลให้กับดินอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสำหรับแนวคิด ‘จำลองป่าไว้ในกระถาง’ การใช้ปุ๋ยหมักนี้ อาจเปรียบเสมือนการทดแทนการทับถมของซากพืชและซากสัตว์นั่นเอง
1.4 การใช้เชื้อราและจุลินทรีย์มีประโยชน์สำคัญต่อพืช (beneficial bacteria and fungi)
ทั้งในด้านการป้องกันโรค ป้องกันแมลง รวมถึงช่วยในด้านการเจริญเติบโตของพืช เช่น
- เชื้อรา Trichoderma harzianum เพื่อการแก้ไขและรักษาโรคพืช
- เชื้อรา Mycorrhizae เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวและอัตราในการดูดซึมอาหารของรากพืช
- เชื้อรา Metarhizium anisopliae เพื่อกำจัดเพลี้ย
- เชื้อรา Beauveria bassiana เพื่อกำจัดหวี่ขาว
- เชื้อรา Paccilomyces lilacinus เพื่อกำจัดไรแดง
- แบคทีเรีย Bacillus thuringiensi เพื่อกำจัดหนอน
- แบคทีเรีย Bacillus thuringiensis var. israelensis เพื่อกำจัดตัวอ่อนแมลง
- แบคทีเรีย Bacillus subtilis เพื่อการแก้ไขและรักษาโรคพืช
2.1 ช่วงเพาะเมล็ด-เพาะกล้า และกิ่งชำ (seedling and clones)
เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วพืชจะทำการสังเคราะห์แสงได้ดีในอุณหภูมิระหว่าง 15-30°C สถานที่ปลูกต้นไม้พิเศษของเราในช่วงนี้จึงควรมีอุณหภูมิตั้งแต่ 24-26°C ค่าความชื้นสัมพัทธ์(RH) ที่ 60-70% เนื่องจากในช่วงอายุนี้ต้นไม้เราจะยังมีรากน้อย ความชื้นในอากาศที่สูงจะช่วยให้ต้นไม้ของเราดูดซึมน้ำทางใบได้มากขึ้น
2.2 ช่วงทำใบ (vegetative)
ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมนั้น ต้นไม้ของเราจะเข้าสู่ช่วงทำใบอย่างเต็มตัวเมื่ออายุครบ 2-3 สัปดาห์ โดยอุณหภูมิและความชื้นยังคงเหมือนกับช่วง seedling แต่ในช่วงกลาง-ท้ายของการทำใบสามารถค่อยๆลดความชื้นสัมพัทธ์รวมถึงอุณหภูมิลงมาอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการเตรียมต้นเข้าสู่ช่วงทำดอก
2.3 ช่วงทำดอก (flowering)
การควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพราะความชื้นในอากาศที่มากเกินไปอาจส่งผลให้ดอกขึ้นราได้ โดยอุณหภูมิควรลดลงจากช่วงทำใบมาอีกสักเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 22-24°C มีค่าความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน 55% ในสองสัปดาห์แรกของการปรับไฟทำดอก และค่อยๆลดลงมาหยุดไว้ที่ 40-50% ตลอดการทำดอก ทั้งนี้ในช่วงสุดท้ายของอายุการทำดอก เราสามารถลดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ลงมาอีกได้เล็กน้อยที่ 21-23°C และ RH 40-45% และชั่วโมงแสงเป็น 11/13 เพื่อเป็นการบังคับให้ต้นไม้พิเศษของเราแสดง phenotype และ character ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
4.1 Harvest Day
เรามักปล่อยให้หน้าดินแห้งสัก 2-3 วันก่อนลงมือเก็บเกี่ยว พร้อมลดอุณหภูมิและค่าความชื้นสัมพัทธ์ลงอีกเล็กน้อย และเก็บเกี่ยวก่อนเวลาเปิดไฟเพื่อช่วยลดการสะสมของคลอโรฟิลด์
4.2 Slow Drying
เริ่มด้วยการตากทั้งต้นโดยยังไม่ต้องทริมใบใดๆ ในห้องมืดไม่ให้แสงรบกวนที่อากาศถ่ายเท หมุนเวียนดี แต่ไม่ให้ลมเป่าดอกโดยตรง ส่วนใหญ่แล้วมักใช้เวลา 14-21 วัน โดยสามารถสังเกตุจากใบเลี้ยงที่แห้งจนเขี่ยหลุดง่าย และกิ่งที่แห้งพอจะหักจากลำต้นได้ แต่ต้องคอยระวังไม่ให้ดอกแห้งกรอบเกินไป การตาก 21 วัน ควบคุมอุณภูมิที่ 23 องศา ค่าความชื้นสัมพัทธ์ 55-60% (**ในกรณีที่ตาก 14 วัน อาจตั้งค่าความชื้นสัมพัทธ์ 50-55% ในช่วง 2-3 วันแรก)
4.3 Bucking หรือ Brown Bagging
เมื่อตากจนได้ที่แล้ว บางครั้งอาจพบว่ากลิ่นดอกไม้เราจะจางลงไปบ้าง ขั้นตอนนี้นอกจะช่วยให้กลิ่นกลับมาลั่นเหมือนเดิมแล้วยังช่วยให้ดอกไม้เข้ารูปมากขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย โดยเริ่มจากการตัดดอกออกจะกิ่งก้าน, ลำต้นและบรรจุใส่กล่องพลาสติก food grade หรือถุงกระดาษไม่ฟอกสี ระวังอย่าใส่จนแน่นเกินไปหรือประมาณ 3/4 ของภาชนะ ขั้นตอนนี้มักใช้เวลา 2-3 วัน ห้องทำงานควบคุมอุณภูมิที่ 23 องศา ความชื้นสัมพัทธ์ 55-60%
4.4 Hand Trimming
หากตากมาอย่างถูกวิธี ขั้นตอนนี้จะทำงานง่ายมาก เนื่องจากใบเลี้ยงและใบส่วนเกินต่างๆจะหลุดง่ายมากจนแทบไม่ต้องกดกรรไกร เมื่อตัดแต่งใบเสร็จแล้วนำดอกใส่ในโหลแก้วพร้อมซองควบคุมความชื้น และทำงานในห้องที่ควบคุมอุณภูมิที่ 24-25 องศา ความชื้นสัมพัทธ์ 55-60% เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้นที่อาจกลับเข้าไปในดอกได้และควรใส่ถุงมือทุกขั้นตอนการทำงาน
4.5 Curing
ช่วงสัปดาห์แรก เปิดฝาเพื่อถ่ายเทอากาศวันละครั้งและเพื่อตรวจเช็คสภาพดอกไปในตัว (ถ้าตากแบบ 21 วันมา ตรงนี้ไม่จำเป็นครับ) หลังหนึ่งสัปดาห์ก็สามารถเก็บได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องเปิดโหลบ่อย ทั่วไปแล้วกลิ่นและ character จะเริ่มลั่นชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ไปจนถึงเดือนที่ 1-2 ของการบ่ม และควรหมั่นตรวจเช็คสภาพซองควบคุมความชื้นเป็นระยะตลอดการบ่ม เก็บขวดโหลในห้องที่ควบคุมอุณภูมิที่ 24-25 องศา ความชื้นสัมพัทธ์ (RH) 55-60%
Regular Seeds เมล็ดที่สามารถเกิดเป็นตัวผู้หรือตัวเมียก็ได้ บางครั้งอาจถูกเรียกว่า เมล็ดสุ่มเพศ
Feminized Seeds เมล็ดที่ถูกทำให้เป็นเพศเมีย ต้นจากเมล็ดชนิดนี้จะเกิดเป็นเพศเมียเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่าง PHOTOPERIOD และ AUTO-FLOWERING
Photoperiod ประเภทของเมล็ด Sativa, Indica และ Hybrid ที่ต้องใช้การปรับเปลี่ยนชั่วโมงแสงให้อยู่ที่ไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้ต้นเริ่มออกดอก ซึ่งการปรับชั่วโมงแสงนี้เปรียบเสมือนการบอกพืชว่าฤดูกาลได้เปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง โดยทั่วไปแล้ว photoperiod มักใช้เวลา 4-4.5 เดือนจากเมล็ดจนเก็บเกี่ยว และสามารถดัด-ตัดแต่งจัดทรงได้เต็มที่ ทำใบได้นานตามต้องการ และมีปริมาณ cannabinoids ที่สูงเข้มข้น
Auto-Flowering ผลลัพธ์ของการนำกัญชาสายพันธุ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น Sativa, Indica, Hybrid ไปผสมกับกัญชาสายพันธุ์ Ruderalis ซึ่งเป็นกัญชาที่มีถิ่นกำเนิดส่วนใหญ่อยู่ในแถบยุโรปตะวันออกและรัสเซีย โดย Ruderalis มักมีลำต้นสูงเพียง 1-2.5 ฟุต มีวงจรชีวิตที่สั้น และออกดอกโดยไม่สนใจชั่วโมงแสง ออกดอกได้แม้ในสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจนัก แต่ก็มีปริมาณ cannabiniods ต่ำมากด้วยเช่นกัน โดย Auto-Flowering จะออกดอกโดยไม่สนใจชั่วโมงแสง และมักเริ่มทำดอกเมื่ออายุ 30-45 วัน โดยส่วนมากจะใช้เวลาจากเมล็ดจนเก็บเกี่ยวเพียง 90-100 วันเท่านั้น แต่ก็มีข้อจำกัดตามมา เช่น potency ที่ต่ำกว่า photoperiod หรืออาจไม่สามารถดัดได้เต็มที่ ไม่สามารถบังคับให้ต้นทำใบได้ยาวนานดั่งใจเหมือน เนื่องจากวงจรอายุที่สั้นนั่นเอง
เพาะเมล็ดวิธีไหนดี?
การเพาะเมล็ดมีหลายวิธี และบางวิธีก็มีหลายขั้นตอน แต่วิธีที่เราชื่นชอบและขอแนะนำนั้นง่ายมากจนแทบไม่ต้องทำอะไร นั่นก็คือ การเพาะใส่แก้วหรือกระถางขนาดเล็ก หากเป็นแก้วเจาะรูที่ก้นให้น้ำระบายออกได้ด้วย
- รดน้ำลงดินหรือวัสดุเพาะให้ชุ่มฉ่ำ
- ใช้นิ้วหรือหลอดเมล็ดทำหลุมเล็ก ลึกประมาณ 1-2 ซม.
- นำเมล็ดลง กลบดินและรดน้ำซ้ำอีกครั้ง
- จากนั้นนำแก้วหรือกระถางเพาะไว้ที่มืด ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70%
ตรวจเชคและรักษาความชุ่มชื้นของดินหรือวัสดุเพาะ โดยอาจต้องรดน้ำเพิ่มเล็กน้อยทุก 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปแล้ววิธีนี้ต้นอ่อนจะงอกภายใน 2-5 วัน
รดน้ำบ่อยแค่ไหนดี และจะรู้ปริมาณที่เหมาะสมได้อย่างไร?
ส่วนใหญ่แล้ว วันเว้นวัน หรือ เว้นสองวัน ไม่สามารถชี้บอกตายตัวได้ บางครั้งพวกเราเว้นสามวันเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วยครับ ตามธรรมชาติแล้วต้นไม้พิเศษของเราชอบสภาพดินแบบ "เปียกสลับแห้ง" ฉะนั้นหลังรดน้ำไปแล้วควรปล่อยให้อย่างน้อยที่สุดสัก 1 วัน เพื่อให้รากได้หายใจและเจริญเติบโต
บ่อยครั้งที่ผลของการรดน้ำแบบผิดๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการให้น้ำมากหรือบ่อยเกินไป (overwatering) จะมาแสดงอาการป่วยในช่วงกลางหรือท้ายอายุของต้นเนื่องจากรากจมน้ำหรืออยู่ในสภาวะเปียกชื้นสะสมมาเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลทำให้เกิดปัญหาทางอ้อมต่างๆได้ เช่น ต้นไม่สามารถดูดซึมแคลเซี่ยมและแมกนิเซียมมาใช้ (ที่เรียกกันว่าปัญหา cal-mag) และแม้แต่การดูดซึมฟอสฟอรัสก็สามารถถูกล้อคได้เช่นกัน (phosphorus deficiency) หรือที่แย่ที่สุดคือรากเน่านั่นเอง
Auto-Flowering ควรเลี้ยงในกระถางขนาดเท่าไหร่?
ขอแนะนำที่ 7-10 แกลลอน เนื่องจาก auto-flowering เกิดจากการนำ hybrid หรือ landrace ต่างๆไปผสมเข้ากับ ruderalis ที่วงจรชีวิตที่ค่อนข้างสั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือ auto-flowering จะมีวงจรชีวิตที่สั้นตามไปด้วย โดยจะออกดอกเองเมื่ออายุประมาณ 30 วัน และไม่สนชั่วโมงแสง ฉะนั้นการใช้กระถางใหญ่เกินไปก็จะเป็นการสิ้นเปลืองทั้งดินและน้ำโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทางกลับกันหากใช้กระถางเล็กเกินไปก็อาจเป็นการบังคับให้ต้นทำดอกก่อนกำหนดได้เช่นกัน
ปลูกอินทรีย์ 100% สามารถทำให้ต้นใหญ่ได้หรือไม่?
การปลูกอินทรีย์ 100% สามารถทำให้ต้นใหญ่ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องใช้ขนาดกระถางที่ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้มีเนื้อที่เพียงพอต่อทุกชีวิตและองค์ประกอบของระบบนิเวศน์ในดิน เมื่อต้นมีขนาดใหญ่ รากจะกินพื้นที่มากขึ้น ขนาดกระถางจึงควรใหญ่ตาม เพื่อรักษาสมดุลของชีวิตในดินไว้ให้ได้ดีนั่นเอง
การใช้ดินซ้ำ
สำหรับการปลูกอย่างอินทรีย์ครบวงจรด้วย T-REX Super Soil นั้น หากมีการดูแลสภาพหน้าดินและชีวิตในดินให้มีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในสภาพที่เหมาะสมตลอดฤดูกาลปลูก เช่น มีการใส่ปุ๋ยหมักตามช่วงอายุอย่างเหมาะสม มีการปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดิน มีไส้เดือน รวมถึงมีการทิ้งเศษซากใบไว้หน้าดิน การนำดินมาใช้ซ้ำก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนัก เพียงแค่การเติมปุ๋ยหมัก Bloom Booster และปลูกพืชคลุมดินใหม่หลังเก็บเกี่ยวก็เป็นอันใช้ได้ โดยอาจเสริมด้วยการรดน้ำหมักต่างๆในระหว่างช่วงที่ปลูกพืชคุลมดินรอบใหม่ไปพร้อมกันได้อีกด้วย
ปลูก 1 ต้น ใช้ดินเท่าไหร่?
อันดับแรกต้องดูกันที่ประเภทของเมล็ดว่าเป็น autoflowering หรือ photoperiod ครับ หากเป็น autoflowering เราขอแนะนำที่ 5-7 แกลลอน เนื่องด้วยวงจรอายุที่ค่อนข้างสั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้กระถางใหญ่มากเกินไป แต่การใช้กระถางเล็กเกินไป ก็อาจทำให้ autoflowering ออกดอกเร็วกว่าที่ควรจะเป็นได้ด้วยเช่นกัน ส่วนในกรณีของ photoperiod นั้นจะค่อนข้างยืดหยุ่นตามความต้องการของและเทคนิคของผู้ปลูกเอง เช่นตั้งแต่ 3-100 แกลลอน ก็สามารถทำได้โดยไม่มีปัญหา แต่โดยทั่วไปแล้วสำหรับ homegrown แล้วมักอยู่ที่ 5-10 แกลลอนครับ
ความสำคัญของพืชคลุมดิน
การปลูกพืชคุลมดิน หรือ Cover Cropping ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการปลูกพืชอินทรีย์อย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถทำได้เลยในขั้นตอนเตรียมดินในกระถางจริง ระหว่างเพาะหรือเลี้ยงต้นกล้า นอกจากประโยชน์มากมายแล้วทั้งยังเป็นการช่วยให้เราได้เห็นถึงความสำคัญและความเป็นไปของระบบนิเวศที่ดีด้วยวิธีง่ายๆ โดยพืชที่นิยมนำมาปลูกเป็นพืชคลุมดินนั้นควรเป็นพืชตระกูลถั่ว เช่น ปอ หรือ โคลเวอร์ เนื่องจากหาง่าย ปลูกง่าย ทั้งยังมีราคาไม่แพง
และด้วยความสามารถของแบคทีเรีย ไรโซเบียม ที่อาศัยอยู่บริเวณปมรากของพืชตระกูลถั่วทุกชนิดนั้นมีคุณสมบัติในการจับตรึงไนโตรเจนในอากาศมาแปลงเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่พืชดูดซึมได้
การปลูกพืชคลุมดินลักษณะนี้สามารถทำได้ทั้งปลูกร่วมไปกับพืชหรือปลูกและไถกลบหลังการเก็บเกี่ยว
นอกจากประโยชน์ด้านไนโตรเจนแล้ว รากของพืชคลุมดินยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้หน้าดิน ช่วยให้ดินมีความโปร่ง มีอากาศมากขึ้น และยังเป็นที่อยู่ของเชื้อราดีอื่นๆ เช่น ไมโคไรซ่า เมื่อบวกกับการชอนไชและการย่อยสลายเศษซากพืชคลุมดินของไส้เดือน นอกจากจะเป็นการสร้างฮิวมัสอย่างดีแล้ว ยังทำให้บริเวณรากที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ และมีการพึ่งพากันระหว่างพืชกับจุลินทรีย์ หรือ rhizosphere เกิดวงจรการแลกเปลี่ยนทางชีวภาพระหว่างพืชกับจุลินทรีย์อย่างมากมายและสมบูรณ์อีกด้วย
ไส้เดือนช่วยอะไรบ้าง?
ไส้เดือน หรือ Earthworms นับเป็นกองกำลังสำคัญที่จะช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน รวมถึงซากของพืชคุลมดิน โดยจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้และน้ำย่อยของไส้เดือนดินจะช่วยเปลี่ยนธาตุอาหารหลายชนิดให้พืชสามารถนำไปใช้ได้ การชอนไชของไส้เดือนจะทำให้ดินโปร่งร่วนซุยยิ่งขึ้น ช่วยให้เกิดช่องว่างให้ในดินทำให้รากชอนไชได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยคลุกเคล้าแพร่กระจายจุลินทรีย์และเชื้อราที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น ไมคอร์ไรซ่า ไรโซเบียม รวมถึงเมทาไรเซียม
ไส้เดือนดินแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
- ไส้เดือนดินสีแดง คือ ไส้เดือนที่อาศัยอยู่บนบริเวณหน้าดินที่อุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุและมีความชุ่มชื้นตลอดปี กินเก่งและขยายพันธุ์เร็ว เป็นกลุ่มไส้เดือนที่เหมาะกับการใช้ย่อยสลายขยะอินทรีย์หรือผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือน เช่นสายพันธุ์ African night crawler, Tiger, Blue worms และ Red worms
- ไส้เดือนดินสีเทา คือ ไส้เดือนที่อาศัยอยู่ในดินชั้นบนและชั้นล่าง มีขนาดใหญ่กว่าไส้เดือนที่อาศัยอยู่บนผิวดิน แพร่พันธุ์ได้ช้าและน้อยมาก มีการพักตัวช่วงหน้าแล้ง ไส้เดือนกลุ่มนี้ไม่เหมาะต่อการใช้ย่อยสลายขยะอินทรีย์
สายพันธุ์ไส้เดือนที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย
- ขี้ตาแร่ ไส้เดือนสายพันธุ์ไทย กินเก่งและขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว มีลักษณะคล้ายแอฟริกัน ไนท์ครอว์เลอร์แต่ตัวเล็กกว่า หาได้ง่ายเนื่องจากเป็นใส้เดือนท้องถิ่น
- African Night Crawler หรือ AF ไส้เดือนเขตร้อน กินเก่งมาก ขยายพันธุ์เร็ว มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีความสามารถในการย่อยสลายอินทรียวัตถุได้อย่างรวดเร็ว
- Tiger Worm ไส้เดือนเขตอบอุ่น มีลายเสือ ตัวสั้นป้อม กินเก่งและขยายพันธุ์ได้เร็ว ทนสภาพอากาศเย็นได้ดี
- Blue Worm ไส้เดือนเขตร้อนที่สามารถพบได้ทั่วทวีปเอเชีย ขนาดตัวค่อนข้างเล็ก กินเก่ง ลูกดกและขยายพันธุ์เร็ว นอกจากเมือกที่ถูกขับออกมาจากลำตัวจะมีกลิ่นหอมแล้ว ยังมีฤทธิ์ในการกำจัดเชื้อราที่ผลิตสารพิษอะฟลาทอกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย
SST คืออะไร?
SST หรือ Sprouted Seeds Tea คือการใช้ประโยชน์จากเอนไซม์ธรรมชาติที่มีอยู่ในเมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพด และพืชตระกูลถั่ว โดยเอนไซม์เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญทั้งด้านการเจริญเติบโต โดยที่ส่วนหนึ่งจะมีหน้าที่ในการช่วยจับตรึง-ดูดซึมธาตุอาหารส่วนที่ดูดซึมได้ยากหรือใช้เวลานาน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะมีบทบาทด้านการเสริมภูมิคุ้มกันและความทนทานต่อโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราและแมลงหลากหลายชนิด
Malted Barley Grain เมล็ดข้าวบาร์เลย์อุดมไปด้วยเอนไซม์นานาชนิด โดยเฉพาะไคติเนส (chitinase) ที่เป็นตัวย่อยสลายไคติน (chitin) ซึ่งนอกจากไคตินจะเป็นส่วนสำคัญในการลอกคราบของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างกุ้งและปูแล้ว ไคตินยังเป็นส่วนประกอบหลักของเชื้อราที่ให้โทษ และแมลงศัตรูพืชหลากหลายชนิดอีกด้วย
โดยเมื่อพืชได้รับเอนไซม์ แบคทีเรียฝ่ายดีจะใช้เอนไซม์ไคติเนสในการย่อยสลายไคตินเพื่อมาใช้เป็นพลังงาน และด้วยวิธีนี้เองที่จะทำให้พืชสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคและแมลงบางชนิดได้ด้วยตัวเองโดยการผลิตเอนไซม์ไคติเนสออกมาอยู่ในส่วนต่างๆของตัวพืชและมีหน้าที่สำคัญคือสามารถยับยั้งโรคพืชชนิดต่างๆ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราให้โทษ นอกจากนี้เอนไซม์อื่นๆยังมีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของพืชโดยทำงานในลักษณะเหมือนกรงเล็บที่คอยจับธาตุอาหารที่ดูดซึมได้ยากหรือต้องใช้เวลานานให้ได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีทำ SST
- นำเมล็ดจำนวน 2 ออนซ์ ไปแช่น้ำสะอาดประมาณ 8 ชั่วโมง ในตอนแรกจะสังเกตุได้ว่า อาจมีเมล็ดบางส่วนที่ไม่จมน้ำ เมื่อผ่านไปครบ 8 ชั่วโมงแล้ว แตะเมล็ดบางส่วนที่ลอยอยู่ จะพบว่าส่วนมากจะจมน้ำไป จากนั้นให้ตักนำเมล็ดและเศษเปลือกที่ลอยอยู่ผิวน้ำทิ้งได้เลย
- ล้างด้วยน้ำสะอาด โดยพรมน้ำเช้า-เย็น เมื่อผ่านไป 24-72 ชั่วโมง จะสังเกตุเห็นรากงอก โดยรากมีความยาวพอๆกับตัวเมล็ดถือว่าเป็นอันใช้ได้
- นำเมล็ดเหล่านี้ไปปั่นและผสมกับน้ำสะอาด 20 ลิตรจากนั้นสามารถใช้รดได้ทันที และควรใช้ให้หมดในครั้งเดียว
***ในกรณีที่ต้องการนำไปเป่าอ๊อกซิเจนร่วมกับน้ำหมักอื่น ห้ามทำเกิน 4 ชั่วโมง มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อพืชได้ วิธีนี้แนะนำสำหรับผู้มีประสบการณ์เท่านั้น***